เมื่อพูดถึงภาวะโลกร้อนทุกคนก็คงจะคุ้นเคยกับคำๆ นี้เป็นอย่างดี เพราะมันเป็นสาเหตุหลักที่เริ่มมีการรณรงค์ในการใช้ทรัพยากรต่างๆ เพื่อดูแลรักษาโลกให้มากขึ้น ยิ่งโลกพัฒนาไปไกลมากเท่าไหร่เรื่องของความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นต่อโลกก็มีมากขึ้นเท่านั้น ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากมนุษย์เองที่พยายามพัฒนาสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้จนบางครั้งไม่ได้ให้ความสนใจต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโลกเลยแม้แต่น้อย

ภาวะโลกร้อนเกิดจากการที่ก๊าซเรือนกระจกมีอยู่ในชั้นบรรยากาศของโลกมาเกินไปจนทำให้แสงแดดที่ถูกสาดส่องเข้ามายังโลกไม่สามารถที่จะสะท้อนกลับไปยังด้านนอกได้ เมื่อสะท้อนกลับไปไม่ได้ความร้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็จะถูกวนเวียนอยู่ในโลก ซึ่งตัวการสำคัญก็อย่างที่บอกไปว่ามนุษย์นี่เองคือคนที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกมากที่สุดเพื่อนำพลังงานต่างๆ มาใช้ให้เกิดความสะดวกสบาย ก๊าซที่สำคัญในการทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกก็คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ปัจจัยหลักก็มาจากการเผาไหม้ยิ่งถ้าหากว่าเราใช้พลังงานบนโลกนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ภาวะเรือนกระจกก็จะเกิดมากขึ้นตามเท่านั้น และยิ่งในโลกยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาก้าวไปไกลภายะโลกร้อนก็เพิ่มมากขึ้นในทุกๆ วัน ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากกับการที่ภาวะตรงนี้จะลดลงในอนาคต เพราะนับวันคนเราเองก็ต้องการพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากขึ้น

พฤติกรรมที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก

  1. การตัดไม้ทำลายป่าทำให้ไม่มีต้นไม้ที่จะช่วยในการผลิตการออกซิเจนและดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีเพิ่มมากขึ้น
  2. ควันจากท่อไอเสียในการใช้รถยนต์จะปล่อยก๊าซโอโซนออกมาซึ่งไม่เป็นผลดีต่อโลกอย่างแน่นอน
  3. มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงซึ่งมีต้นต่อมาจากถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ
  4. การใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทโฟม พลาสติก ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว
  5. การเลือกใช้สิ่งอำนวยคามสะดวกต่างๆ เกินความจำเป็น อาทิ เปิดแอร์หลายๆ ตัวในห้องเดียว, เปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทิ้งเอาไว้

สิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับภาวะโลกร้อนหรือภาวะเรือนกระจกนั้นก็คงต้องไม่ต้องย้ำหรือว่าอธิบายอะไรกันให้มากความ เพราะตัวการสำคัญก็คือมนุษย์อย่างที่ได้บอกไป ยิ่งคนเราใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายมากเท่าไหร่โลกของเราก็จะยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น และคนส่วนใหญ่ก็มักจะคิดเสมอว่าใช้แค่นี้เองไม่เป็นไรหรอก ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์หากไม่อยากให้โลกแย่ไปมากกว่านี้ต้องร่วมมือร่วมใจลดโลกร้อน

หากมองกันที่ประเทศไทยแล้วโดยปกติถือว่าประเทศไทยเองจะมี 3 ฤดูกาลให้ได้สัมผัสกันประกอบไปด้วย ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว ซึ่งถ้าถามว่าหลักๆ แล้วประเทศไทยมีฤดูอะไรที่เยอะที่สุดคำตอบนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นฤดูร้อน อย่างไรก็ตามในแต่ละช่วงฤดูก็จะมีสภาพอากาศที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสภาพอากาศตรงนี้ก็ย่อมที่จะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ได้เช่นเดียวกันหากว่าไม่มีการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่จะเกิดขึ้น มาดูวีการรับมือกับสภาพอากาศในแต่ละฤดูกาลว่าควรต้องทำอย่างไรบ้าง

ฤดูร้อน

  1. เตรียมเสื้อผ้าที่เนื้อผ้าไม่หนาจนเกินไปโดยทางที่ดีหากาว่าจำเป็นจะต้องออกไปอยู่ในที่โล่งแจ้งบ่อยๆ ก็ควรจะเป็นเสื้อแขนยาวเอาไว้ด้วย
  2. หาครีมกันแดดเพื่อเอาไว้ใช้ทาในยามที่จะต้องออกพื้นที่กลางแจ้งเสมอเพราะแดดจะทำให้เกิดปัญหาสิว ฝ้า กระ
  3. เตรียมร่มหรือหมวกเอาไว้สำหรับการป้องกันแดด
  4. ทำพื้นที่ภายในบ้านให้อากาศถ่ายเทอยู่ตลอดจะได้ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในส่วนที่ไม่จำเป็น
  5. พยายามทำพื้นที่ต่างๆ ไม่ให้รกหรือว่าไม่ให้มีเชื้อไฟกองสุมรวมกันอยู่เพราะหน้าร้อนเป็นจุดเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ได้

ฤดูฝน

  1. เตรียมร่ม เสื้อกันฝน หมวก หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่สามารถกันฝนได้ในยามที่ต้องออกพื้นที่กลางแจ้ง
  2. หากจำเป็นต้องใช้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ในการเดินทางก็ควรที่จะมีการตรวจสอบสภาพรถยนต์เกี่ยวกับยางและระบบเบรกให้ดีเสมอ
  3. ดูแลในส่วนของหลังคาบ้านให้ดีเพื่อป้องกันไม่ให้ในช่วงเวลาที่ฝนตกแล้วเกิดน้ำฝนรั่วซึมเข้ามายังบริเวณบ้าน
  4. พยายามอย่าทำให้มีภาชนะที่น้ำกักขังอยู่เพราะจะเป็นบ่อเกิดของยุงลายและโรคไข้เลือกออก
  5. เตรียมยาสำหรับป้องกันเวลาที่โดนฝนกลับเข้ามาก็ควรที่จะทานยาระงับเอาเพื่อไม่ให้เกิดอาการไม่สบาย
  6. อย่ากองสิ่งของต่างๆ เอาไว้ในมุมมืดหรือกองรวมกันเพราะอาจจะมีสัตว์ร้ายเข้ามาซุกอาศัยอยู่

ฤดูหนาว

  1. พยายามเตรียมเสื้อผ้าหนาๆ เพื่อเอาไว้ป้องกันร่างกายตัวเองไม่ให้เย็นจัดจนเกินไป
  2. เตรียมยาที่เอาไว้ป้องกันในยามที่เกิดอาการไข้หวัดต่างๆ เพราะฤดูหนาวเป็นฤดูที่คนป่วยโรคจำพวกนี้ค่อนข้างจะเยอะ
  3. เตรียมครีมสำหรับป้องกันหน้าลอกหรือลิบมันในกรณีที่ปากแห้ง ปากแตก
  4. พยายามอย่าให้มีการกองรวมกันของวัสดุที่ติดไฟง่ายเพราะเมื่อเวลาอากาศแห้งจัดสามารถที่จะก่อให้เกิดประกายไฟได้
  5. สร้างวิธีในการพยายามที่จะทำให้ร่างกายตัวเองอบอุ่นอยู่เสมอ อาทิ เตรียมฟืนเอาไว้สำหรับก่อไฟ เป็นต้น

สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับในปัจจุบันนี้ก็คือสภาพภูมิอากาศของโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่ามาจากฝีมือของมนุษย์เสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะเมื่อมนุษย์ต้องการที่จะสร้างความสะดวกสบายให้กับตัวเองก็จำเป็นที่จะต้องเบียดเบียนโลกหรือธรรมชาติเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ และเมื่อธรรมชาติโดนทำร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ สภาวะต่างๆ ก็เสียสมดุลไปและส่งผลไปยังสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นกับโลกในปัจจุบันนี้ที่ทุกคนบนโลกเองก็สามารถที่จะสัมผัสได้ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก

สิ่งแรกที่สามารถสัมผัสได้เกี่ยวกับเรื่องของสภาพภูมิอากาศก็คือ โลกเองมีอุณหภูมิที่สูงมากขึ้นซึ่งปัจจัยสำคัญก็มาจากการที่เกิดก๊าซเรือนกระจกต่อชั้นบรรยากาศของโลก ส่งผลให้เกิดเป็นภาวะโลกร้อน เมื่อเกิดเป็นภาวะโลกร้อนอากาศในพื้นที่ต่างๆ ก็ร้อนมากขึ้น อุณหภูมิสูงมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์โลกเป็นอย่างมาก เมื่ออากาศร้อนก็จำเป็นที่จะต้องพึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถคลายร้อนได้ แต่หารู้ไม่ว่ายิ่งใช้เทคโนโลยีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มความร้อนให้กับโลกมากเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คนเราจะเปิดแอร์เป็นระยะเวลานานๆ เพื่อผ่อนคลายความร้อน แต่เมื่อเปิดนานเข้ามันก็จะส่งผลกระทบต่อโลกเราในทางกลับกันด้วย หรือจะเป็นในช่วงที่เป็นฤดูฝนบ่อยครั้งที่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลหรือในบางครั้งฝนก็ตกหนักมากเกินไปจนทำให้เกิดเป็นน้ำท่วมขึ้นมา ซึ่งตรงนี้เองก็เป็นผลมาจกสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันของโลกที่ทำให้เกิดฝนตกหนัก เกิดพายุใหญ่ เกิดความผันแปรของธรรมชาติต่างๆ นานาชนิดที่ว่าบางครั้งแทบจะตั้งตัวไม่ทันกันเลยทีเดียว

หรือถ้าหากเป็นหน้าหนาวสำหรับบางประเทศที่อยู่ในโซนหนาวก็จะรู้สึกว่าในแต่ละปีนั้นอากาศหนาวมากขึ้นทุกครั้งๆ ซึ่งก็ส่งผลมาจากการที่โลกมีความเปลี่ยนแปลงในสภาวะภูมิอากาศมากขึ้นความหนาวเย็นของอากาศก็มีมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน นี่ยังไม่รวมในเรื่องของการที่น้ำแข็งขั้วโลกละลายเพิ่มมากขึ้นในทุกปีก็เป็นผลสืบเนืองมาจากสภาพภูมิอากาศมีการเปลี่ยนแปลงไป และถ้าหากเป็นแบบนี้บ่อยๆ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อโลกอย่างแน่นอน สิ่งที่มนุษย์จะสามารถทำได้ตอนนี้มากที่สุดก็คือต้องดูแลตัวเองไม่ให้รู้สึกว่าตัวเองนั้นเบียดเบียนธรรมชาติมากจนธรรมชาติต้องส่งสัญญาณเตือนมาเป็นสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน ค่อยลงมือทำทีละเล็กทีละน้อย แม้อาจจะไม่มีใครสนใจแต่ตัวเราเองก็ย่อมรู้ตัวเองว่าได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับโลกใบนี้แล้ว