ปรากฏการณ์การวางกรอบ
ปรากฏการณ์การวางกรอบ[1] (อังกฤษ: framing effect) เป็นความเอนเอียงทางประชานที่เรามีปฏิกิริยาต่อทางเลือกอย่างหนึ่งโดยต่าง ๆ กันไปขึ้นอยู่กับว่ามีการแสดงทางเลือกนั้นอย่างไร เช่นโดยเป็นการได้หรือการเสีย[2] (ดูตัวอย่างในการหลีกเลี่ยงการเสีย) คือ เรามักจะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเมื่อแสดงทางเลือกนั้นโดยเป็นการได้ และจะทำการเสี่ยงเมื่อแสดงทางเลือกนั้นโดยเป็นการเสีย[3] การได้และการเสียสามารถวางกรอบได้โดยใช้คำแสดงผลต่าง ๆ กัน (เช่น จะมีการเสียชีวิตหรือจะมีการช่วยชีวิต คนไข้จะได้รับการรักษาหรือไม่ได้รับการรักษา)
ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม โดยเฉพาะคือ Prospect theory แสดงว่า
- การเสียที่มีมูลค่าเท่ากับการได้กลับมีความสำคัญต่อเรามากกว่า[3]
- เราชอบใจการได้ที่ชัวร์ มากกว่าการได้ที่เป็นเพียงแต่มีโอกาส คือเป็นไปตามความน่าจะเป็น[4]
- เราชอบใจการเสียที่เป็นเพียงแต่มีโอกาส มากกว่าการเสียที่แน่นอน[3]
อันตรายของปรากฏการณ์นี้ก็คือ ในชีวิตประจำวันจริง ๆ จะมีการแสดงทางเลือกโดยวางกรอบเป็นการได้หรือการเสียอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น[5]
ทฤษฎีนี้ช่วยให้เข้าใจการวางกรอบที่มีในการเคลื่อนไหวทางสังคม และในการสร้างความคิดเห็นทางการเมือง ที่ทำการปั่นเสียงเมื่อทำโพลทางการเมือง แล้วใช้การวางกรอบคำถามเพื่อให้ได้คำตอบที่สนับสนุนมุมมองของกลุ่มบุคคลที่ให้ทุนการทำโพล การทำเช่นนี้ทำให้มีนักวิชาการอ้างว่า เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของโพลการเมือง แม้ว่าจะมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ที่โพลมีให้กับสาธารณชน[6]
งานวิจัย[แก้]
ในปี ค.ศ. 1981 อะมอส ทเวอร์สกี้และแดเนียล คาฮ์นะมันตรวจสอบว่า การใช้คำวางกรอบทางเลือก มีอิทธิพลต่อคำตอบของผู้ร่วมการทดลองในสถานการณ์ที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย (สมมุติ) อย่างไร[3] คือ มีการให้ผู้ร่วมการทดลองเลือกวิธีการรักษาสองอย่างสำหรับคน 600 คนที่เกิดโรคร้ายแรงถึงตาย การรักษาแบบแรกมีการพยากรณ์ว่า "มีผลให้ตาย 400 คน" เทียบกับการรักษาแบบที่สองที่ "มีโอกาส 33% ว่าจะไม่มีใครเสียชีวิต แต่ก็มีโอกาส 66% ว่าทุกคนจะเสียชีวิต" ทางเลือกเหล่านี้มีการแสดงให้ผู้ร่วมการทดลองโดยการวางกรอบคำพูดแบบบวก คือ จะมีกี่คนที่รอดชีวิต หรือว่า แบบลบ คือ จะมีกี่คนที่เสียชีวิต
การวางกรอบคำพูด | การรักษาแบบแรก | การรักษาแบบที่สอง |
---|---|---|
แบบบวก | "ช่วยชีวิต 200 คน" | "มีโอกาส 33% ช่วยชีวิตทั้ง 600 คน มีโอกาส 66% ที่จะไม่ช่วยใครเลย" |
แบบลบ | "400 คนจะเสียชีวิต" | "มีโอกาส 33% ว่าจะไม่มีใครเสียชีวิต มีโอกาส 66% ว่า ทั้ง 600 คนจะเสียชีวิต" |
ผู้ร่วมการทดลอง 72% เลือกวิธีการรักษาแรกเมื่อใช้คำพูดแบบบวก (คือ ช่วยชีวิต 200 คน) แต่จะมีเพียง 22% ที่เลือกเมื่อใช้คำพูดแบบลบ (คือ 400 คนจะเสียชีวิต)
ปรากฏการณ์นี้พบในการทดลองในสถานการณ์อื่น ๆ คือ
- นักศึกษาปริญญาเอก 93% ลงทะเบียนก่อนเวลาเมื่อมีการเน้นว่าจะต้องเสียค่าปรับถ้าลงทะเบียนสาย เทียบกับ 67% ที่ลงทะเบียนก่อนแมื่อแสดงว่าจะได้ส่วนลดเนื่องจากการลงทะเบียนก่อน[7]
- ผู้รับการสำรวจ 62% ไม่เห็นด้วยในการให้อนุญาต "เพื่อประณามประชาธิปไตยต่อหน้าสาธารณชน" แต่มีเพียง 46% ที่เห็นด้วยว่า เป็นความถูกต้องที่จะ "ห้ามการประณามประชาธิปไตยต่อหน้าสาธารณชน"[8]
- จะมีคนสนับสนุนนโยบายทางเศรษฐกิจมากกว่าถ้าเน้นอัตราการจ้างงาน มากกว่าเมื่อเน้นอัตราการตกงาน[6]
เป็นวิธีการทางความคิดที่ไม่สมเหตุผล[แก้]
ปรากฏการณ์ดังที่แสดงในตัวอย่างต่าง ๆ เป็นเหตุให้ความคิดของมนุษย์ไม่สมเหตุผล ไม่ถูกตรรกะ คือ ทางตรรกวิทยา กฎ extensionality กำหนดว่า “สูตร (เช่นฟังก์ชัน) สองอย่างที่ให้ค่าความจริง (คือผล) เดียวกัน ไม่ว่าจะใช้ค่าอะไร (คือเหตุ) ต้องสามารถทดแทนกันได้ถ้ารักษาค่าความจริงไว้ได้ ในประโยคอะไรก็ตามที่มีสูตรนั้น”[9] กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ หลัก extensionality จัดว่า อะไรที่มีลักษณะภายนอกที่เหมือนกันจัดเป็นของที่เท่ากัน ถ้าเราตัดสินใจตามกฎนี้ วิธีการแสดงปัญหาก็ไม่ควรจะมีผลต่อการตัดสินใจ เช่น การแสดงปัญหาโดยใช้คำต่าง ๆ กัน ไม่ควรที่จะมีผลเป็นการตัดสินใจที่ต่างกัน เมื่อการประเมินตัดสินของเรากลับอาศัยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นดังที่แสดงมาแล้ว นี่เป็นความคิดที่ไม่สมเหตุผล ไม่สมกับหลักตรรกศาสตร์[9]
องค์ประกอบคือวัย[แก้]
ปรากฏการณ์การวางกรอบเป็นความเอนเอียงที่มีกำลังที่สุดอย่างหนึ่งในการตัดสินใจ เป็นความเอนเอียงที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างคงเส้นคงวาในงานทดลองต่าง ๆ[10] โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ความเสี่ยงต่อปรากฏการณ์นี้เพิ่มขึ้นตามวัย และความแตกต่างระหว่างวัยเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพ[11][12][13] และการตัดสินใจทางการเงิน[14] แต่ว่า ปรากฏการณ์นี้ดูจะอันตรธานไปถ้าเกี่ยวเนื่องกับภาษาที่สอง[15] ซึ่งอาจจะอธิบายได้ว่า ภาษาที่สองสร้างความห่างไกลทางประชานและทางอารมณ์มากกว่าภาษาบ้านเกิด[16] และมีการประมวลผลอัตโนมัติในระดับที่น้อยกว่าภาษาบ้านเกิด ซึ่งนำไปสู่การไตร่ตรองที่เพิ่มขึ้น จึงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ และมีผลเป็นการตัดสินใจอย่างเป็นระบบมากกว่า[17]
วัยเด็กและวัยรุ่น[แก้]
ปรากฏการณ์มีกำลังเพิ่มขึ้นเมื่อเด็กเจริญวัยขึ้น[18][19][20] โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า การหาเหตุผลเชิงคุณภาพ (เทียบกับเชิงปริมาณ) จะมีเพิ่มขึ้นตามอายุ[18] คือ ในขณะที่เด็กวัยก่อนอนุบาลมีโอกาสสูงกว่าที่จะทำการตัดสินใจขึ้นอยู่กับปริมาณ เช่นโอกาสความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นของผล เด็กประถมและเด็กวัยรุ่นมีโอกาสสูงขึ้นเรื่อย ๆ ที่จะใช้เหตุผลเชิงคุณภาพ โดยเลือกผลที่ชัวร์ ๆ ในกรอบการได้ และเลือกการเสี่ยงผลในกรอบการเสีย ไม่ว่าความน่าจะเป็นจะเป็นอย่างไรจริง ๆ[18] การใช้เหตุผลเชิงคุณภาพเพิ่มขึ้น มีความสัมพันธ์กับการคิดที่ “อาศัยสาระสำคัญ” (gist based) ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในชีวิต[21]
อย่างไรก็ดีการคิดหาเหตุผลเชิงคุณภาพ และดังนั้นความเสี่ยงต่อปรากฏการณ์นี้ ก็ยังไม่มีกำลังในเด็กวัยรุ่นเท่ากับในผู้ใหญ่[18][20] และเด็กวัยรุ่นมีโอกาสสูงกว่าที่จะเลือกเสี่ยงผลทั้งในการกรอบการได้ ทั้งในกรอบการเสีย[19] ซึ่งอาจจะอธิบายได้ว่า เด็กวัยรุ่นขาดประสบการณ์เกี่ยวกับผลลบที่อาจจะเกิดขึ้น และดังนั้น ต้องประเมินการได้การเสียโดยเป็นกระบวนการเหนือสำนึก[19] โดยเพ่งความสนใจไปที่ข้อมูล รายละเอียด หรือการวิเคราะห์โดยปริมาณ บางอย่างโดยเฉพาะ[22] แล้วจึงมีผลเป็นการลดระดับปรากฏการณ์นี้ และทำให้เกิดความสม่ำเสมอทั้งในการวางกรอบเป็นการได้หรือเป็นการเสียมากกว่าผู้ใหญ่[22] แต่ว่า โดยเปรียบเทียบกันแล้ว เด็กวัย 10-12 ขวบมีโอกาสสูงกว่าในการเสี่ยงผลที่เป็นการแสดงปรากฏการณ์นี้ มากกว่าเด็กอายุน้อยกว่า ผู้จะพิจารณาความแตกต่างโดยปริมาณของทางเลือกที่ให้เท่านั้น[23]
ผู้ใหญ่รุ่นหนุ่มสาว[แก้]
ผู้ใหญ่รุ่นหนุ่มสาวมีโอกาสมากกว่าผู้ใหญ่อายุมากกว่าที่จะเสี่ยงผลเมื่อให้ทางเลือกมีกรอบเป็นการเสีย[10]
ในงานศึกษาหลายงานทำกับนักศึกษาปริญญาตรี นักวิจัยพบว่า นักศึกษาชอบใจทางเลือกที่มีกรอบเป็นการได้มากกว่า[24] ยกตัวอย่างเช่น ชอบใจเนื้อในตลาดที่ติดป้ายว่า "เนื้อไม่มัน 75%" มากกว่า "มีมัน 25%" หรือใช้ถุงยางอนามัยที่โฆษณาว่า "ได้ผล 95%" มากกว่าที่โฆษณา "มีโอกาสพลาด 5%"[24]
หนุ่มสาวมีโอกาสเสี่ยงสูงต่อปรากฏการณ์นี้ เมื่อปัญหาเป็นเรื่องคลุมเครือไม่มีคำตอบ และแต่ละคนจะต้องกำหนดเองว่า ข้อมูลอะไรเข้าประเด็นกับปัญหา[24] ยกตัวอย่างเช่น นักศึกษาปริญญาตรียินดีที่จะซื้อของเช่นตั๋วหนังหลังจากเงินหายมีมูลค่าเท่ากับของ มากกว่าที่จะซื้อของหลังจากของหาย[24]
ผู้ใหญ่ที่อายุมาก[แก้]
ปรากฏการณ์นี้มีกำลังในผู้ใหญ่อายุมาก มากกว่ารุ่นหนุ่มสาว และในเด็กวัยรุ่น[11][12] นี้อาจจะเป็นเพราะมีความเอนเอียงประเภท negativity bias[25] มากขึ้น[12] แม้ว่าจะมีนักวิชาการที่อ้างว่า negativity bias จริง ๆ จะลดลงตามลำดับอายุ[14] คำอธิบายอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ใหญ่อายุมากอาจจะมีทรัพยากรทางประชานน้อยกว่า จึงมีโอกาสมากกว่าที่จะใช้กลยุทธ์ทางความคิดที่ใช้ทรัพยากรน้อยกว่าเมื่อต้องตัดสินใจ[10] คือ มักจะอาศัยข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่าย ๆ เช่นกรอบที่วางไว้ ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เป็นประเด็นหรือไม่[10]
มีงานศึกษาหลายงานที่แสดงว่า หนุ่มสาวจะทำการตัดสินใจที่มีความเอนเอียงน้อยกว่าผู้ใหญ่อายุมาก เพราะว่า พวกเขาตัดสินใจโดยตีความตามรูปแบบของเหตุการณ์ และสามารถใช้กลยุทธ์การตัดสินใจที่ดีกว่า ที่ต้องใช้ทรัพยากรทางประชาน เช่นทักษะต่าง ๆ ที่ต้องใช้ความจำใช้งาน (working-memory) เทียบกับผู้ใหญ่อายุมาก ผู้จะทำการตัดสินใจอาศัยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทันทีต่อการได้หรือการเสีย[10]
การขาดทรัพยากรทางประชานของผู้สูงวัย เช่นความยืดหยุ่นได้ในการใช้กลยุทธ์ในการตัดสินใจ อาจเป็นเหตุให้ผู้สูงวัยจะได้รับอิทธิพลจากการตั้งกรอบทางอารมณ์มากกว่าหนุ่มสาวและเด็กวัยรุ่น[26] นอกจากนั้นแล้ว เมื่อเราอายุมากกว่า เราจะตัดสินใจเร็วกว่าเมื่อยังเป็นหนุ่มสาว[10] แต่ว่า ให้สังเกตว่า ถ้ามีคนอื่นบอกให้ทำ ผู้ใหญ่ที่สูงวัยบ่อยครั้งสามารถตัดสินใจอย่างมีความเอนเอียงน้อยกว่าเมื่อให้ตัดสินใจใหม่[10][11]
ปรากฏการณ์การวางกรอบที่เพิ่มขึ้นในผู้สูงวัยมีผลที่สำคัญ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล[11][12][13] คือผู้สูงวัยจะมีความอ่อนไหวในระดับสูงต่อข้อมูลรายละเอียดที่ให้หรือไม่ได้ให้ ซึ่งหมายความว่า อาจจะตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่สำคัญ ขึ้นอยู่กับว่า คุณหมอจะวางกรอบทางเลือกที่ให้อย่างไร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างเชิงปริมาณของทางเลือก ซึ่งอาจจะมีผลเป็นการตัดสินใจที่ไม่สมควร[10]
เมื่อพิจารณาการรักษาโรคมะเร็ง การวางกรอบสามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของผู้สูงวัยจากการรอดชีวิตในระยะสั้นไปยังระยะยาว โดยการวางกรอบแบบเสียและแบบได้ตามลำดับ[11] คือเมื่อรับข้อมูลเกี่ยวการรักษาที่วางกรอบว่ามีผลบวก มีผลลบหรือมีผลเปล่า ผู้สูงวัยมีโอกาสสูงอย่างมีนัยสำคัญที่จะยอมรับการรักษาเมื่อได้ข้อมูลบวก มากกว่าที่จะยอมรับการรักษาเดียวกันนั่นแหละเมื่อข้อมูลเป็นแบบลบหรือเป็นแบบเปล่า[12] นอกจากนั้นแล้ว การวางกรอบแม้แต่สามารถจะเปลี่ยนความคิด หลังจากตัดสินใจแล้ว คือเป็นเหตุให้เลิกล้มการตัดสินใจเบื้องต้น แล้วยอมรับการรักษาที่เป็นทางเลือก[12] นอกจากนั้นแล้ว ผู้สูงวัยจะสามารถจำข้อมูลที่มีการวางกรอบเป็นแบบบวกได้ดีกว่าที่มีกรอบแบบลบ[11][27] ซึ่งมีหลักฐานจากงานวิจัยที่ตรวจการระลึกข้อมูลการรักษาพยาบาลจากแผ่นพับของผู้สูงวัย[11][27]
ดูเพิ่ม[แก้]
เชิงอรรถและอ้างอิง[แก้]
- ↑ "ศัพท์บัญญัติอังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (คอมพิวเตอร์) รุ่น ๑.๑", ให้ความหมายของ framing ว่า "การวางกรอบภาพ"
- ↑ Plous 1993
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 Tversky & Kahneman 1981
- ↑ Clark 2009
- ↑ Druckman 2001a
- ↑ 6.0 6.1 Druckman 2001b อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Druckman2001b" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ Gächter et al. 2009
- ↑ Rugg, as cited in Plous 1993
- ↑ 9.0 9.1 Bourgeois-Gironde, Sacha; Giraud, Raphaël (2009). "Framing effects as violations of extensionality". Theory and Decision. 67 (4): 385–404. doi:10.1007/s11238-009-9133-7. ISSN 0040-5833.
two formulas which have the same truth-value under any truth-assignments to be mutually substitutable salva veritate in a sentence that contains one of these formulas.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 10.6 10.7 doi:10.1093/geronb/gbr076
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand - ↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 11.5 11.6 Erber, Joan (2013). Aging and Older Adulthood (3 ed.). John Wiley & Sons. p. 218. ISBN 978-0-470-67341-6.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 12.4 12.5 Peters, Ellen; Finucane, Melissa; MacGregor, Donald; Slovic, Paul (2000). "The Bearable Lightness of Aging: Judgment and Decision Processes in Older Adults". ใน Stern, Paul C; Carstensen, Laura L. (บ.ก.). The aging mind: opportunities in cognitive research (PDF). Washington, D.C.: National Academy Press. ISBN 0-309-06940-8.CS1 maint: uses editors parameter (link)
- ↑ 13.0 13.1 Hanoch, Yaniv; Rice, Thomas (2006). "Can Limiting Choice Increase Social Welfare? The Elderly and Health Insurance". The Milbank Quarterly. 84 (1): 37–73. doi:10.1111/j.1468-0009.2006.00438.x. JSTOR 25098107.
- ↑ 14.0 14.1 doi:10.1111/j.1749-6632.2011.06390.x
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand - ↑ Keysar, B.; Hayakawa, S. L.; An, S. G. (2012). "The Foreign-Language Effect: Thinking in a Foreign Tongue Reduces Decision Biases". Psychological Science. 23 (6): 661–668. doi:10.1177/0956797611432178. ISSN 0956-7976.
- ↑ Keysar, Boaz; Hayakawa, Sayuri; An, Sun Gyu. "The Foreign-Language Effect : Thinking in a Foreign Tongue Reduces Decision Biases" (PDF). University of Chicago: Psychology. Psychological Science. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2015-11-23. สืบค้นเมื่อ 2014-12-03.
- ↑ Keysar, Boaz; Hayakawa, Sayuri; An, Sun Gyu. "The Foreign-Language Effect : Thinking in a Foreign Tongue Reduces Decision Biases" (PDF). University of Chicago: Psychology. Psychological Science. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2015-11-23. สืบค้นเมื่อ 2014-12-03.
- ↑ 18.0 18.1 18.2 18.3 doi:10.1111/j.1529-1006.2006.00026.x
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand - ↑ 19.0 19.1 19.2 doi:10.1111/j.1532-7795.2010.00724.x
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand - ↑ 20.0 20.1 doi:10.1111/j.1749-6632.2011.06208.x
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand - ↑ doi:10.1177/0272989X08327066
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand - ↑ 22.0 22.1 doi:10.1024/1421-0185.64.3.153
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand - ↑ doi:10.1016/j.dr.2006.05.002
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand - ↑ 24.0 24.1 24.2 24.3 Revlin, Russell (2012). "Chapter 11: Solving Problems". Cognition: Theory and Practice. New York, New York: Worth Publishers. ISBN 978-0716756675.
- ↑ negativity bias เป็นปรากฏการณ์ทางจิตที่เราสามารถระลึกถึงความทรงจำเชิงลบได้ดีกว่า เทียบกับความทรงจำเชิงบวก
- ↑ doi: 10.1111/j.1468-5884.2010.00432.x
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand - ↑ 27.0 27.1 doi:10.1111/j.1749-6632.2011.06209.x
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
แหล่งข้อมูล[แก้]
- Clark, D (2009). Framing effects exposed. Pearson Education.CS1 maint: ref=harv (link)
- Druckman, J. (2001a). "Evaluating framing effects". Journal of Economic Psychology. 22: 96–101. doi:10.1016/S0167-4870(00)00032-5.CS1 maint: ref=harv (link)
- Druckman, J. (2001b). "Using credible advice to overcome framing effects". Journal of Law, Economics, and Organization. 17: 62–82. doi:10.1093/jleo/17.1.62.CS1 maint: ref=harv (link)
- Gächter, S.; Orzen, H.; Renner, E.; Stamer, C. (2009). "Are experimental economists prone to framing effects? A natural field experiment". Journal of Economic Behavior & Organization. doi:10.1016/j.jebo.2007.11.003.CS1 maint: ref=harv (link)
- Plous, Scott (1993). The psychology of judgment and decision making. McGraw-Hill. ISBN 978-0-07-050477-6.CS1 maint: ref=harv (link)
- Tversky, Amos; Kahneman, Daniel (1981). "The Framing of decisions and the psychology of choice". Science. 211 (4481): 453–458. doi:10.1126/science.7455683. PMID 7455683.CS1 maint: ref=harv (link)
- Kühberger, Anton; Tanner, Carmen (2010). "Risky choice framing: Task versions and a comparison of prospect theory and fuzzy-trace theory". Journal of Behavioral Decision Making. 23 (3): 314–329. doi:10.1002/bdm.656.