ปรากฏการณ์การวางกรอบ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Framing effect)

ปรากฏการณ์การวางกรอบ[1] (อังกฤษ: framing effect) เป็นความเอนเอียงทางประชานที่เรามีปฏิกิริยาต่อทางเลือกอย่างหนึ่งโดยต่าง ๆ กันไปขึ้นอยู่กับว่ามีการแสดงทางเลือกนั้นอย่างไร เช่นโดยเป็นการได้หรือการเสีย[2] (ดูตัวอย่างในการหลีกเลี่ยงการเสีย) คือ เรามักจะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเมื่อแสดงทางเลือกนั้นโดยเป็นการได้ และจะทำการเสี่ยงเมื่อแสดงทางเลือกนั้นโดยเป็นการเสีย[3] การได้และการเสียสามารถวางกรอบได้โดยใช้คำแสดงผลต่าง ๆ กัน (เช่น จะมีการเสียชีวิตหรือจะมีการช่วยชีวิต คนไข้จะได้รับการรักษาหรือไม่ได้รับการรักษา)

ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม โดยเฉพาะคือ Prospect theory แสดงว่า

  • การเสียที่มีมูลค่าเท่ากับการได้กลับมีความสำคัญต่อเรามากกว่า[3]
  • เราชอบใจการได้ที่ชัวร์ มากกว่าการได้ที่เป็นเพียงแต่มีโอกาส คือเป็นไปตามความน่าจะเป็น[4]
  • เราชอบใจการเสียที่เป็นเพียงแต่มีโอกาส มากกว่าการเสียที่แน่นอน[3]

อันตรายของปรากฏการณ์นี้ก็คือ ในชีวิตประจำวันจริง ๆ จะมีการแสดงทางเลือกโดยวางกรอบเป็นการได้หรือการเสียอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น[5]

ทฤษฎีนี้ช่วยให้เข้าใจการวางกรอบที่มีในการเคลื่อนไหวทางสังคม และในการสร้างความคิดเห็นทางการเมือง ที่ทำการปั่นเสียงเมื่อทำโพลทางการเมือง แล้วใช้การวางกรอบคำถามเพื่อให้ได้คำตอบที่สนับสนุนมุมมองของกลุ่มบุคคลที่ให้ทุนการทำโพล การทำเช่นนี้ทำให้มีนักวิชาการอ้างว่า เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของโพลการเมือง แม้ว่าจะมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ที่โพลมีให้กับสาธารณชน[6]

งานวิจัย[แก้]

ในปี ค.ศ. 1981 อะมอส ทเวอร์สกี้และแดเนียล คาฮ์นะมันตรวจสอบว่า การใช้คำวางกรอบทางเลือก มีอิทธิพลต่อคำตอบของผู้ร่วมการทดลองในสถานการณ์ที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย (สมมุติ) อย่างไร[3] คือ มีการให้ผู้ร่วมการทดลองเลือกวิธีการรักษาสองอย่างสำหรับคน 600 คนที่เกิดโรคร้ายแรงถึงตาย การรักษาแบบแรกมีการพยากรณ์ว่า "มีผลให้ตาย 400 คน" เทียบกับการรักษาแบบที่สองที่ "มีโอกาส 33% ว่าจะไม่มีใครเสียชีวิต แต่ก็มีโอกาส 66% ว่าทุกคนจะเสียชีวิต" ทางเลือกเหล่านี้มีการแสดงให้ผู้ร่วมการทดลองโดยการวางกรอบคำพูดแบบบวก คือ จะมีกี่คนที่รอดชีวิต หรือว่า แบบลบ คือ จะมีกี่คนที่เสียชีวิต

การวางกรอบคำพูด การรักษาแบบแรก การรักษาแบบที่สอง
แบบบวก "ช่วยชีวิต 200 คน" "มีโอกาส 33% ช่วยชีวิตทั้ง 600 คน มีโอกาส 66% ที่จะไม่ช่วยใครเลย"
แบบลบ "400 คนจะเสียชีวิต" "มีโอกาส 33% ว่าจะไม่มีใครเสียชีวิต มีโอกาส 66% ว่า ทั้ง 600 คนจะเสียชีวิต"

ผู้ร่วมการทดลอง 72% เลือกวิธีการรักษาแรกเมื่อใช้คำพูดแบบบวก (คือ ช่วยชีวิต 200 คน) แต่จะมีเพียง 22% ที่เลือกเมื่อใช้คำพูดแบบลบ (คือ 400 คนจะเสียชีวิต)

ปรากฏการณ์นี้พบในการทดลองในสถานการณ์อื่น ๆ คือ

  • นักศึกษาปริญญาเอก 93% ลงทะเบียนก่อนเวลาเมื่อมีการเน้นว่าจะต้องเสียค่าปรับถ้าลงทะเบียนสาย เทียบกับ 67% ที่ลงทะเบียนก่อนแมื่อแสดงว่าจะได้ส่วนลดเนื่องจากการลงทะเบียนก่อน[7]
  • ผู้รับการสำรวจ 62% ไม่เห็นด้วยในการให้อนุญาต "เพื่อประณามประชาธิปไตยต่อหน้าสาธารณชน" แต่มีเพียง 46% ที่เห็นด้วยว่า เป็นความถูกต้องที่จะ "ห้ามการประณามประชาธิปไตยต่อหน้าสาธารณชน"[8]
  • จะมีคนสนับสนุนนโยบายทางเศรษฐกิจมากกว่าถ้าเน้นอัตราการจ้างงาน มากกว่าเมื่อเน้นอัตราการตกงาน[6]

เป็นวิธีการทางความคิดที่ไม่สมเหตุผล[แก้]

ปรากฏการณ์ดังที่แสดงในตัวอย่างต่าง ๆ เป็นเหตุให้ความคิดของมนุษย์ไม่สมเหตุผล ไม่ถูกตรรกะ คือ ทางตรรกวิทยา กฎ extensionality กำหนดว่า “สูตร (เช่นฟังก์ชัน) สองอย่างที่ให้ค่าความจริง (คือผล) เดียวกัน ไม่ว่าจะใช้ค่าอะไร (คือเหตุ) ต้องสามารถทดแทนกันได้ถ้ารักษาค่าความจริงไว้ได้ ในประโยคอะไรก็ตามที่มีสูตรนั้น”[9] กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ หลัก extensionality จัดว่า อะไรที่มีลักษณะภายนอกที่เหมือนกันจัดเป็นของที่เท่ากัน ถ้าเราตัดสินใจตามกฎนี้ วิธีการแสดงปัญหาก็ไม่ควรจะมีผลต่อการตัดสินใจ เช่น การแสดงปัญหาโดยใช้คำต่าง ๆ กัน ไม่ควรที่จะมีผลเป็นการตัดสินใจที่ต่างกัน เมื่อการประเมินตัดสินของเรากลับอาศัยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นดังที่แสดงมาแล้ว นี่เป็นความคิดที่ไม่สมเหตุผล ไม่สมกับหลักตรรกศาสตร์[9]

องค์ประกอบคือวัย[แก้]

ปรากฏการณ์การวางกรอบเป็นความเอนเอียงที่มีกำลังที่สุดอย่างหนึ่งในการตัดสินใจ เป็นความเอนเอียงที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างคงเส้นคงวาในงานทดลองต่าง ๆ[10] โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ความเสี่ยงต่อปรากฏการณ์นี้เพิ่มขึ้นตามวัย และความแตกต่างระหว่างวัยเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพ[11][12][13] และการตัดสินใจทางการเงิน[14] แต่ว่า ปรากฏการณ์นี้ดูจะอันตรธานไปถ้าเกี่ยวเนื่องกับภาษาที่สอง[15] ซึ่งอาจจะอธิบายได้ว่า ภาษาที่สองสร้างความห่างไกลทางประชานและทางอารมณ์มากกว่าภาษาบ้านเกิด[16] และมีการประมวลผลอัตโนมัติในระดับที่น้อยกว่าภาษาบ้านเกิด ซึ่งนำไปสู่การไตร่ตรองที่เพิ่มขึ้น จึงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ และมีผลเป็นการตัดสินใจอย่างเป็นระบบมากกว่า[17]

วัยเด็กและวัยรุ่น[แก้]

ปรากฏการณ์มีกำลังเพิ่มขึ้นเมื่อเด็กเจริญวัยขึ้น[18][19][20] โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า การหาเหตุผลเชิงคุณภาพ (เทียบกับเชิงปริมาณ) จะมีเพิ่มขึ้นตามอายุ[18] คือ ในขณะที่เด็กวัยก่อนอนุบาลมีโอกาสสูงกว่าที่จะทำการตัดสินใจขึ้นอยู่กับปริมาณ เช่นโอกาสความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นของผล เด็กประถมและเด็กวัยรุ่นมีโอกาสสูงขึ้นเรื่อย ๆ ที่จะใช้เหตุผลเชิงคุณภาพ โดยเลือกผลที่ชัวร์ ๆ ในกรอบการได้ และเลือกการเสี่ยงผลในกรอบการเสีย ไม่ว่าความน่าจะเป็นจะเป็นอย่างไรจริง ๆ[18] การใช้เหตุผลเชิงคุณภาพเพิ่มขึ้น มีความสัมพันธ์กับการคิดที่ “อาศัยสาระสำคัญ” (gist based) ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในชีวิต[21]

อย่างไรก็ดีการคิดหาเหตุผลเชิงคุณภาพ และดังนั้นความเสี่ยงต่อปรากฏการณ์นี้ ก็ยังไม่มีกำลังในเด็กวัยรุ่นเท่ากับในผู้ใหญ่[18][20] และเด็กวัยรุ่นมีโอกาสสูงกว่าที่จะเลือกเสี่ยงผลทั้งในการกรอบการได้ ทั้งในกรอบการเสีย[19] ซึ่งอาจจะอธิบายได้ว่า เด็กวัยรุ่นขาดประสบการณ์เกี่ยวกับผลลบที่อาจจะเกิดขึ้น และดังนั้น ต้องประเมินการได้การเสียโดยเป็นกระบวนการเหนือสำนึก[19] โดยเพ่งความสนใจไปที่ข้อมูล รายละเอียด หรือการวิเคราะห์โดยปริมาณ บางอย่างโดยเฉพาะ[22] แล้วจึงมีผลเป็นการลดระดับปรากฏการณ์นี้ และทำให้เกิดความสม่ำเสมอทั้งในการวางกรอบเป็นการได้หรือเป็นการเสียมากกว่าผู้ใหญ่[22] แต่ว่า โดยเปรียบเทียบกันแล้ว เด็กวัย 10-12 ขวบมีโอกาสสูงกว่าในการเสี่ยงผลที่เป็นการแสดงปรากฏการณ์นี้ มากกว่าเด็กอายุน้อยกว่า ผู้จะพิจารณาความแตกต่างโดยปริมาณของทางเลือกที่ให้เท่านั้น[23]

ผู้ใหญ่รุ่นหนุ่มสาว[แก้]

ผู้ใหญ่รุ่นหนุ่มสาวมีโอกาสมากกว่าผู้ใหญ่อายุมากกว่าที่จะเสี่ยงผลเมื่อให้ทางเลือกมีกรอบเป็นการเสีย[10]

ในงานศึกษาหลายงานทำกับนักศึกษาปริญญาตรี นักวิจัยพบว่า นักศึกษาชอบใจทางเลือกที่มีกรอบเป็นการได้มากกว่า[24] ยกตัวอย่างเช่น ชอบใจเนื้อในตลาดที่ติดป้ายว่า "เนื้อไม่มัน 75%" มากกว่า "มีมัน 25%" หรือใช้ถุงยางอนามัยที่โฆษณาว่า "ได้ผล 95%" มากกว่าที่โฆษณา "มีโอกาสพลาด 5%"[24]

หนุ่มสาวมีโอกาสเสี่ยงสูงต่อปรากฏการณ์นี้ เมื่อปัญหาเป็นเรื่องคลุมเครือไม่มีคำตอบ และแต่ละคนจะต้องกำหนดเองว่า ข้อมูลอะไรเข้าประเด็นกับปัญหา[24] ยกตัวอย่างเช่น นักศึกษาปริญญาตรียินดีที่จะซื้อของเช่นตั๋วหนังหลังจากเงินหายมีมูลค่าเท่ากับของ มากกว่าที่จะซื้อของหลังจากของหาย[24]

ผู้ใหญ่ที่อายุมาก[แก้]

ปรากฏการณ์นี้มีกำลังในผู้ใหญ่อายุมาก มากกว่ารุ่นหนุ่มสาว และในเด็กวัยรุ่น[11][12] นี้อาจจะเป็นเพราะมีความเอนเอียงประเภท negativity bias[25] มากขึ้น[12] แม้ว่าจะมีนักวิชาการที่อ้างว่า negativity bias จริง ๆ จะลดลงตามลำดับอายุ[14] คำอธิบายอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ใหญ่อายุมากอาจจะมีทรัพยากรทางประชานน้อยกว่า จึงมีโอกาสมากกว่าที่จะใช้กลยุทธ์ทางความคิดที่ใช้ทรัพยากรน้อยกว่าเมื่อต้องตัดสินใจ[10] คือ มักจะอาศัยข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่าย ๆ เช่นกรอบที่วางไว้ ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เป็นประเด็นหรือไม่[10]

มีงานศึกษาหลายงานที่แสดงว่า หนุ่มสาวจะทำการตัดสินใจที่มีความเอนเอียงน้อยกว่าผู้ใหญ่อายุมาก เพราะว่า พวกเขาตัดสินใจโดยตีความตามรูปแบบของเหตุการณ์ และสามารถใช้กลยุทธ์การตัดสินใจที่ดีกว่า ที่ต้องใช้ทรัพยากรทางประชาน เช่นทักษะต่าง ๆ ที่ต้องใช้ความจำใช้งาน (working-memory) เทียบกับผู้ใหญ่อายุมาก ผู้จะทำการตัดสินใจอาศัยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทันทีต่อการได้หรือการเสีย[10]

การขาดทรัพยากรทางประชานของผู้สูงวัย เช่นความยืดหยุ่นได้ในการใช้กลยุทธ์ในการตัดสินใจ อาจเป็นเหตุให้ผู้สูงวัยจะได้รับอิทธิพลจากการตั้งกรอบทางอารมณ์มากกว่าหนุ่มสาวและเด็กวัยรุ่น[26] นอกจากนั้นแล้ว เมื่อเราอายุมากกว่า เราจะตัดสินใจเร็วกว่าเมื่อยังเป็นหนุ่มสาว[10] แต่ว่า ให้สังเกตว่า ถ้ามีคนอื่นบอกให้ทำ ผู้ใหญ่ที่สูงวัยบ่อยครั้งสามารถตัดสินใจอย่างมีความเอนเอียงน้อยกว่าเมื่อให้ตัดสินใจใหม่[10][11]

ปรากฏการณ์การวางกรอบที่เพิ่มขึ้นในผู้สูงวัยมีผลที่สำคัญ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล[11][12][13] คือผู้สูงวัยจะมีความอ่อนไหวในระดับสูงต่อข้อมูลรายละเอียดที่ให้หรือไม่ได้ให้ ซึ่งหมายความว่า อาจจะตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่สำคัญ ขึ้นอยู่กับว่า คุณหมอจะวางกรอบทางเลือกที่ให้อย่างไร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างเชิงปริมาณของทางเลือก ซึ่งอาจจะมีผลเป็นการตัดสินใจที่ไม่สมควร[10]

เมื่อพิจารณาการรักษาโรคมะเร็ง การวางกรอบสามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของผู้สูงวัยจากการรอดชีวิตในระยะสั้นไปยังระยะยาว โดยการวางกรอบแบบเสียและแบบได้ตามลำดับ[11] คือเมื่อรับข้อมูลเกี่ยวการรักษาที่วางกรอบว่ามีผลบวก มีผลลบหรือมีผลเปล่า ผู้สูงวัยมีโอกาสสูงอย่างมีนัยสำคัญที่จะยอมรับการรักษาเมื่อได้ข้อมูลบวก มากกว่าที่จะยอมรับการรักษาเดียวกันนั่นแหละเมื่อข้อมูลเป็นแบบลบหรือเป็นแบบเปล่า[12] นอกจากนั้นแล้ว การวางกรอบแม้แต่สามารถจะเปลี่ยนความคิด หลังจากตัดสินใจแล้ว คือเป็นเหตุให้เลิกล้มการตัดสินใจเบื้องต้น แล้วยอมรับการรักษาที่เป็นทางเลือก[12] นอกจากนั้นแล้ว ผู้สูงวัยจะสามารถจำข้อมูลที่มีการวางกรอบเป็นแบบบวกได้ดีกว่าที่มีกรอบแบบลบ[11][27] ซึ่งมีหลักฐานจากงานวิจัยที่ตรวจการระลึกข้อมูลการรักษาพยาบาลจากแผ่นพับของผู้สูงวัย[11][27]

ดูเพิ่ม[แก้]

เชิงอรรถและอ้างอิง[แก้]

  1. "ศัพท์บัญญัติอังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (คอมพิวเตอร์) รุ่น ๑.๑", ให้ความหมายของ framing ว่า "การวางกรอบภาพ"
  2. Plous 1993
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 Tversky & Kahneman 1981
  4. Clark 2009
  5. Druckman 2001a
  6. 6.0 6.1 Druckman 2001b อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Druckman2001b" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  7. Gächter et al. 2009
  8. Rugg, as cited in Plous 1993
  9. 9.0 9.1 Bourgeois-Gironde, Sacha; Giraud, Raphaël (2009). "Framing effects as violations of extensionality". Theory and Decision. 67 (4): 385–404. doi:10.1007/s11238-009-9133-7. ISSN 0040-5833. two formulas which have the same truth-value under any truth-assignments to be mutually substitutable salva veritate in a sentence that contains one of these formulas.
  10. 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 10.6 10.7 doi:10.1093/geronb/gbr076
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  11. 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 11.5 11.6 Erber, Joan (2013). Aging and Older Adulthood (3 ed.). John Wiley & Sons. p. 218. ISBN 978-0-470-67341-6.
  12. 12.0 12.1 12.2 12.3 12.4 12.5 Peters, Ellen; Finucane, Melissa; MacGregor, Donald; Slovic, Paul (2000). "The Bearable Lightness of Aging: Judgment and Decision Processes in Older Adults". ใน Stern, Paul C; Carstensen, Laura L. (บ.ก.). The aging mind: opportunities in cognitive research (PDF). Washington, D.C.: National Academy Press. ISBN 0-309-06940-8.CS1 maint: uses editors parameter (link)
  13. 13.0 13.1 Hanoch, Yaniv; Rice, Thomas (2006). "Can Limiting Choice Increase Social Welfare? The Elderly and Health Insurance". The Milbank Quarterly. 84 (1): 37–73. doi:10.1111/j.1468-0009.2006.00438.x. JSTOR 25098107.
  14. 14.0 14.1 doi:10.1111/j.1749-6632.2011.06390.x
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  15. Keysar, B.; Hayakawa, S. L.; An, S. G. (2012). "The Foreign-Language Effect: Thinking in a Foreign Tongue Reduces Decision Biases". Psychological Science. 23 (6): 661–668. doi:10.1177/0956797611432178. ISSN 0956-7976.
  16. Keysar, Boaz; Hayakawa, Sayuri; An, Sun Gyu. "The Foreign-Language Effect : Thinking in a Foreign Tongue Reduces Decision Biases" (PDF). University of Chicago: Psychology. Psychological Science. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2015-11-23. สืบค้นเมื่อ 2014-12-03.
  17. Keysar, Boaz; Hayakawa, Sayuri; An, Sun Gyu. "The Foreign-Language Effect : Thinking in a Foreign Tongue Reduces Decision Biases" (PDF). University of Chicago: Psychology. Psychological Science. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2015-11-23. สืบค้นเมื่อ 2014-12-03.
  18. 18.0 18.1 18.2 18.3 doi:10.1111/j.1529-1006.2006.00026.x
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  19. 19.0 19.1 19.2 doi:10.1111/j.1532-7795.2010.00724.x
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  20. 20.0 20.1 doi:10.1111/j.1749-6632.2011.06208.x
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  21. doi:10.1177/0272989X08327066
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  22. 22.0 22.1 doi:10.1024/1421-0185.64.3.153
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  23. doi:10.1016/j.dr.2006.05.002
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  24. 24.0 24.1 24.2 24.3 Revlin, Russell (2012). "Chapter 11: Solving Problems". Cognition: Theory and Practice. New York, New York: Worth Publishers. ISBN 978-0716756675.
  25. negativity bias เป็นปรากฏการณ์ทางจิตที่เราสามารถระลึกถึงความทรงจำเชิงลบได้ดีกว่า เทียบกับความทรงจำเชิงบวก
  26. doi: 10.1111/j.1468-5884.2010.00432.x
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  27. 27.0 27.1 doi:10.1111/j.1749-6632.2011.06209.x
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand

แหล่งข้อมูล[แก้]