ทั้ง 4 คำนี้ผมใช้ผิดอยู่บ่อยครั้ง ไม่แน่ใจว่าจะใช้คำเหล่านี้ในลักษณะไหนได้บ้าง พอลองหาดูในเว็บไซต์สำนักงานราชบัณฑิตยสภาก็พบว่าได้ให้ข้อมูลเรื่องนี้ไว้แล้ว เสียแต่ว่าหลังจากมีการปรับปรุงหน้าเว็บของสำนักงานฯ ให้ดีขึ้น ข้อมูลดีๆ หลายอย่างก็อันตรธานหายไปพร้อมกันกับหน้าเว็บแบบเดิม แถมหน้าเว็บใหม่ก็ค้นข้อมูลเดิมไม่ค่อยจะเจอนัก โชคดีที่มีเว็บไซต์หลายแห่งเอาบทความหลายบทความจากสำนักงานฯ มาเผยแพร่ต่อไว้บ้าง ก่อนอื่นก็ดูความหมายคำเหล่านี้กันก่อน
เช่น เป็นคำนาม มีความหมายว่า อย่าง หรือ ชนิด
ได้แก่ เป็นคำสันธาน มีความหมายว่า คือ หรือ เท่ากับ
เป็นต้น เป็นได้ทั้งคำวิเศษณ์ ที่ให้ความหมายว่า เริ่มแรก เป็นอันดับแรก หรือ เป็นส่วนเบื้องต้น
อาทิ มาจากภาษาบาลีสันสกฤต มีความหมายว่า ต้น หากใช้กับคำว่าเป็น เป็นอาทิ จะได้ความหมายว่า เป็นต้น
ซึ่งการงานทั้ง 4 คำนี้มีบทความที่เขียนโดยคุณสุปัญญา ชมจินดา จากราชบัณฑิตยสถาน (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานราชบัณฑิตยสภา) ผ่านเว็บไซต์ true ปลูกปัญญา อธิบายไว้ว่า
เช่น ใช้ยกตัวอย่างซึ่งตัวอย่างดังกล่าวไม่ได้อยู่ในชุดหรือกลุ่มของเรื่องเดียวกัน และไม่ต้องเรียงลำดับ เช่น “มีสัตว์เลี้ยงอยู่ที่บ้าน เช่น สุนัข แมว หนู ฯลฯ” ไม่มีคำว่า เป็นต้น เปิดท้าย ส่วนเครื่องหมายไปยาลใหญ่นั้นสามารถละไว้ได้
ได้แก่ ใช้ระบุถึงสิ่งที่อยู่ในชุดเดียวกันครบทั้งชุด เช่น “อริยสัจ ๔ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรจ มรรค”
เป็นต้น ใช้วางท้ายชุดตัวอย่างคำที่อยู่ในชุดเดียวกัน โดยเรียงลำดับจากลำดับแรกเป็นต้นไป แต่ไม่จำเป็นต้องนำมาแสดงทั้งหมด (ดูความหมายด้านบนประกอบ) เช่น “อริยสัจ ๔ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย เป็นต้น”
อาทิ ใช้ยกตัวอย่างคำในกลุ่มลักษระเดียวกันกับคำว่า เป็นต้น ยกมาเพียงแค่ลำดับแรกเพียงพอ วางไว้ได้ทั้งต้นประโยคและท้ายประโยค เช่น “อริยสัจ ๔ อาทิ ทุกข์” หรือ “อริยสัจ ๔ มีทุกข์เป็นอาทิ”
อ้างอิง
– การใช้คำว่า “อาทิ, เช่น, เป็นต้น, ได้แก่” –ทรูปลูกปัญญา
– ได้แก่ อาทิ เช่น เป็นต้น